"อจ.มศว" แฉข้อสอบปรนัยทำเด็กไทยอ่อน"คณิต-วิทย์"
อาจารย์ มศว ออกโรงชำแหละ เหตุผลสัมฤทธิ์ "คณิต-วิทย์"
เด็กไทยตกต่ำ มีปัจจัยทั้งใช้ข้อสอบปรนัยวัดผล ไม่ให้เด็กตกซ้ำชั้น
ชี้สสวท.ตั้งเป้า 10 ปีพัฒนาได้ไม่ง่าย
ผอ.สทศ.ชี้แบบเรียนคณิตศาสตร์อ่านเข้าใจยาก ด้านเลขาฯ กพฐ. แจงต้องใช้เวลา
จากกรณีที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
ออกมาเปิดเผยผลการวิจัยโครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ร่วมกับนานาชาติ ปี 2550 หรือ TIMSS - 2007 ซึ่งมี 59 ประเทศ และ 8 รัฐเข้าร่วม
ซึ่งปรากฏว่าพบเด็กไทยอ่อนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
โดยผลคะแนนคณิตศาสตร์อยู่อันดับที่ 29 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติที่กำหนดไว้
และวิทยาศาสตร์อยู่อันดับที่ 21 และเมื่อเปรียบเทียบกับผลคะแนนเมื่อปี
2542 ทั้ง 2 วิชาลดลง คณิตศาสตร์จาก 467
คะแนน เหลือ 441 คะแนน และวิทยาศาสตร์ จาก 482
คะแนน เหลือ 471 คะแนน นั้น
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)
กล่าวว่า การแก้ปัญหาเด็กไทยอ่อนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เป็นปัญหาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ได้ดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอด แต่จะให้เห็นผลทันทีคงเป็นไปไม่ได้ จะต้องใช้เวลา
โดยการแก้ไขปัญหานั้น สพฐ.ได้ร่วมมือกับ สสวท.จัดโรงเรียนนำร่องกว่า 1,750 แห่ง
เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนามาตรฐานการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
และถ้าประสบความสำเร็จจะขยายไปโรงเรียนต่างๆ นอกจากนี้ ยังได้ศึกษารูปแบบการสอนของเอกชนที่เปิดสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรงเรียนต่างๆ ด้วย ส่วนผลวิจัยที่พบว่าโรงเรียนในสังกัด
สพฐ.มีคะแนนนต่ำสุดนั้น ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโรงเรียนในสังกัด
สพฐ.มีจำนวนมาก
คุณหญิงกษมา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเสนอให้ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์นั้น
ตนเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ทาง สพฐ.ทำอยู่แล้ว อาทิ 1.พัฒนาคุณภาพครู และแก้ปัญหาการบรรจุครูสอนให้ตรงกับวุฒิการศึกษา 2.กำหนดมาตรการดูแลเด็กที่เรียนอ่อนและติดตามผลอย่างใกล้ชิด 3.พัฒนาสื่อการสอนให้ทันสมัยและเหมาะสม
เนื่องจากพบว่าการสอนส่วนใหญ่ยังขาดแคลนสื่อการสอนที่ทันสมัย
โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และ 4.การให้ผู้สอนสร้างบรรยากาศการเรียนให้สนุกและน่าสนใจมากขึ้น
เป็นต้น
นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กไทยอ่อนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์
มาจากหลายปัจจัย เช่น พื้นฐานของผู้เรียนเอง
ปัญหาขาดแคลนครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และในปี 2552 สพฐ.ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีการเข้มงวดเรื่องมาตรฐานการสอนมากขึ้น
โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนที่ตั้งเป้าไว้อีก 10 ปีข้างหน้า
ผลการประเมินวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยจะสูงกว่านานาชาตินั้น
ตนมองว่าเป็นแค่การตั้งเป้าหมาย แต่ต้องเร่งพัฒนาภายในไม่กี่ปีนี้ คงไม่รอถึง 10
ปีแน่นอน
นางอุทุมพร จามรมาน
ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (ผอ.สทศ.) กล่าวว่า
เห็นด้วยที่จะต้องพลิกโฉมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะ
สสวท.จะต้องพัฒนาแบบเรียนให้ทันสมัย อ่านเข้าใจ
โดยเฉพาะแบบเรียนคณิตศาสตร์ต้องเขียนให้อ่านเข้าใจ เพราะปัจจุบันเป็นนามธรรมมากเกินไป
รวมทั้งต้องอบรมและพัฒนาครูด้วยวิธีการใหม่ เช่น อบรมผ่านระบบออนไลน์
แทนการเรียกมาอบรมได้ครั้งละไม่กี่ร้อยคน
ซึ่งจะยิ่งทำให้เห็นผลการพัฒนาล่าช้าไปอีก ที่สำคัญจะต้องแก้ปัญหาขาดแคลนครู
ซึ่งจะต้องแก้ปัญหาในระดับโรงเรียน ไม่ใช่แก้ปัญหาในระดับภาคหรือภาพรวมเท่านั้น
ส่วนที่ทาง สสวท.ระบุว่า อีก 10 ปีข้างหน้าเด็กไทยจะมีคะแนนประเมินสูงกว่าเด็กนานาชาตินั้น
ตนมองว่าเป็นไปได้ยาก มีทางเดียว
สสวท.จะต้องพัฒนาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์แบบก้าวกระโดด
ไม่ใช่ค่อยๆ ทำเหมือนในอดีต ซึ่งหากทุกคนตั้งใจทำน่าจะประสบผลสำเร็จได้
นายณรงค์ ปั้นนิ่ม อาจารย์สาขาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และประธานคณะกรรมการผู้ดูแลวิชาคณิตศาสตร์
มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา
ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) กล่าวว่า
ปัญหาดังกล่าวได้หมักหมมอยู่ในระบบการเรียนการสอนในสังคมไทยมานานมากแล้ว
เพราะครูไทยใช้ระบบข้อสอบปรนัยมาวัดผลเด็ก และการฝึกเด็กก็ยังใช้ข้อสอบปรนัยอีก
ซึ่งเป็นข้อสอบที่ไม่ได้พัฒนาระบบคิด และการใช้เหตุผล
ข้อสอบปรนัยเป็นข้อสอบที่ทำลายเด็กไทยอย่างมาก
คนที่มาเรียนครูก็ถูกมอมเมาด้วยข้อสอบปรนัย มาเป็นครูก็ใช้ข้อสอบปรนัย
เด็กบางคนทำข้อสอบโดยไม่ต้องอ่านคำถาม แต่ใช้วิธีสุ่มเดาก็สามารถสอบผ่านได้
"สังคมการศึกษาไทยเราบริโภคข้อสอบปรนัยมาตั้งแต่ปี
2516 ถึงตอนนี้เป็นเวลาถึง 35 ปี
วงจรข้อสอบปรนัยได้ทำลายเด็กไทย โดยที่ครูไทยยังไม่รู้ตัว
อีกทั้งครูทุกวันนี้ก็มุ่งสอนเพื่อหวังให้เด็กสอบเรียนต่อได้ มีการสอนวิธีลัด
สอนเทคนิค โดยไม่ได้สอนเพื่อให้เด็กเกิดความรู้ เด็กทุกวันนี้จึงชอบไปกวดวิชา
แม้แต่สอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้วบางคนก็ยังต้องไปกวดวิชา
เพราะมาเจอข้อสอบอัตนัยหรือข้อสอบที่ให้คิดวิเคราะห์แล้วเขียนออกมา
เด็กมีปัญหาทำไม่ได้ เข้าสู่การทำงานก็ไร้คุณภาพ
ในขณะที่ประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สูง
ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย
จะไม่ใช้ข้อสอบปรนัยกับเด็กของเขา" นายณรงค์กล่าว
นายณรงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้
ระบบการเรียนที่ไม่ให้เด็กซ้ำชั้น ก็ทำลายเด็ก เพราะจะไม่มีความตั้งใจในการเรียน
บางคนได้เกรดเฉลี่ย 0 มาซ่อมก็สามารถผ่านไปได้ เท่าที่ทราบในเมืองไทยมีโรงเรียนจิตรลดาเพียงโรงเรียนเดียวที่ยังมีการซ้ำชั้น
หากผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ แต่โรงเรียนอื่นๆ ไม่มีการซ้ำชั้น
แม้ผลการเรียนของเด็กจะไม่ผ่านก็ตาม ซึ่งแตกต่างจากการเรียนสมัยก่อนมาก ทั้งนี้
หลายคนอาจจะบอกว่าเด็กไทยในปัจจุบันนี้ก็ตั้งใจและเป็นเด็กเก่ง
ไปแข่งขันระดับนานาชาติไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ก็คว้ารางวัลต่างๆ
มามากมาย ซึ่งก็น่าดีใจ น่ายินดี แต่เด็กกลุ่มนี้เป็นชนกลุ่มน้อยเท่านั้น
แต่ชนกลุ่มมากยังมีปัญหาอยู่ในระดับที่แย่มาก น่าเป็นห่วง
"ที่ สสวท.ตั้งเป้าว่ามีแผนพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ให้เด็กไทยมีคะแนนสูงขึ้นในอีก
10 ปีข้างหน้า คิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
สสวท.เองต้องปรับเปลี่ยนตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการคิด
การพัฒนาตำราต่างๆ เพราะเท่าที่มีโอกาสพัฒนาครูคณิตศาสตร์มาเป็นปีที่ 9 เพื่อให้ครูมีความรู้ ทักษะ และวิธีการสอนคณิตศาสตร์
ก็ยังพบว่าครูยังติดกับดักการสอนแบบปรนัย ซึ่งไม่อาจจะวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้
เมื่อเด็กต้องไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่วัดกันด้วยความรู้ ความเข้าใจ เหตุผล
เด็กไทยจึงทำไม่ได้ ผลสัมฤทธิ์จึงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ" นายณรงค์กล่าว
อ้างอิง : http://www2.eduzones.com/rangsit/14550